วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ CPU Fan


CPU Fan
  • CPU Fan หรือมันก็คือ พัดลมสำหรับระบายความร้อนให้แก่ CPU ในคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คนั่นเองครับ?? พัดลมที่ใช้ในเครื่องโน๊ตบุ๊ค จะมีสป็คแรงไฟอยู่ที่ 5โวลท์ กินกระแสประมาณ .3x Amp (ตรงนี้ก็อยู่ที่ตัวพัดลมในแต่ละ Model ด้วยนะครับ (ผู้เขียนเพียงขอยกเป็นตัวอย่างประกอบเฉพาะบทความนี้เท่านั้นครับ) )? ประกอบด้วยสายไฟสามเส้น ได้แก่สายสีแดงเป็นแรงไฟ 5 โวลท์ สายสีดำ เป็นกราวด์ 0 โวลท์ ส่วนสายสีเหลืองในภาพจะเป็นสายไฟที่ไว้ทำสำหรับสั่งให้พัดลมของซีพียูนั้นๆ หมุนเบา หมุนแรงขึ้น หรือหยุดทำงาน นะครับ เราเลยเรียกมันว่าเป็นสายสำหรับ Sensor นั่นเองครับ
หลักการทำงาน
แบบที่ 1
  • เมื่อคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คถูกเปิดขึ้นเพื่อใช้งาน ในบางเครื่อง บางยี่ห้อ บางรุ่น? พัดลมซีพียู จะเริ่มทำงานด้วยรอบความเร็วที่สูงก่อน แล้วต่อจากนั้นจึงค่อยๆหมุนเบาลง?? และก็หยุดหมุนไปเพราะ มันจะมีการตรวจสอบในเรื่องความร้อนของระบบก่อน? เมื่อพบว่ายังร้อนไม่ถึงค่าที่กำหนด? ก็หยุดการหมุน? และจะทำการหมุนขึ้นอีกครั้ง? เมื่ออุณหภูมิความร้อนของ CPU สูงขึ้นถึงค่าที่ถูกกำหนดไว้อีกครั้ง? และหยุดหมุน? จะมีลักษณะการทำงานเป็นแบบนี้?? เพื่อให้เกิดความประหยัดพลังงาน? โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ได้ใช้แบตเตอรี่จ่ายกระแสเลี้ยงให้แก่เครื่องโน๊ตบุ๊ค? ทำให้ไม่เปลืองแบตเตอรี่นั่นเองครับ
แบบที่ 2
  • เมื่อคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของคุณถูกเปิดขึ้น? พัดลมซีพียู จะยังไม่ทำงาน? และก็ยังไม่ทำงานไปอีกเป็นหลายนาที? ในช่วงจังหวัดที่อาจอยู่ในหน้าจอของระบบปฏิบัติการ? และมีการเรียกใช้โปรแกรมการทำงานต่างๆ CPU จะมีการทำงานที่ใช้พลังมากขึ้น? ทำให้เกิดความร้อนสะสมขึ้น? พัดลมซีพียู ก็จะเริ่มทำงานครับ?? และเมื่ออุณหภูมิได้ในระดับของค่าที่กำหนดไว้? ก็จะหยุดหมุนครับ และก็จะหมุนอีกครั้งเมื่อความร้อนสูงนั่นเอ$งครับ
แบบที่ 3
  • เมื่อคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คมีการถูกเปิดขึ้นเพื่อใช้งาน? พัลมของซีพียู? จะทำงานด้วยรอบความเร็วคงที่ตลอ
ภาพวงจร ควบคุมความเร็วพัดลม CPU
- See more at: http://repair-notebook.com/archives/2463#sthash.0xqVPV36.dpuf

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร

เครื่องถ่ายเอกสาร




ความหมายเครื่องถ่ายเอกสาร

เครื่องถ่ายเอกสาร เป็นอุปกรณ์สำนักงานอย่างหนึ่งซึ่งใช้ในการสำเนาเอกสาร โดยการใช้ความร้อน หรือหลักไฟฟ้าสถิต ในการอ่านเอกสารต้นฉบับและ พิมพ์เอกสารอีกฉบับออกมา
  • เครื่องถ่ายเอกสารระบบไฟฟ้าสถิต
เครื่องถ่ายเอกสารระบบไฟฟ้าสถิต เป็นกระบวนการถ่ายเอกสารแบบใช้กระดาษเคลือบ ซึ่งใช้ประจุไฟฟ้าลบในการถ่ายทอดภาพจากต้นฉบับ เช่นเดียวกับเครื่องถ่ายเอกสารแบบใช้กระดาษธรรมดา แต่กระบวนการของระบบไฟฟ้าสถิต ใช้วัสดุและเทคนิคคล้ายกับการอัดรูปถ่าย กล่าวคือ เริ่มต้นด้วยการทำให้กระดาษเคลือบมีประจุไฟฟ้าลบ แล้วปล่อยให้กระดาษเคลือบสัมผัส กับลำแสงที่สะท้อนมาจากต้นฉบับ จากนั้นผ่านกระดาษลงในสารละลายออกและเป่าให้แห้งด้วยอากาศร้อนก่อนออกจากเครื่อง กระดาษเคลือบเป็นกระดาษที่บริษัทผู้ผลิตเครื่องถ่ายเอกสารผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษ หน้ากระดาษด้านที่สัมผัสกับแสงเคลือบด้วยซิงค์ออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่มีความไวต่อแสง ส่วนด้านหลังกระดาษเคลือบด้วยสารละลายเรซินซึ่งจะอุดรูพรุนของกระดาษ ทำให้กระดาษ ไม่ดูดซับของเหลวเมื่อถูกจุ่มลงในสารละลาย เนื่องจากกระดาษมีความไวต่อแสง ดังนั้น จึงต้องป้องกันไม่ให้ถูกแสง นอกจากในช่วงเวลาที่ถ่ายเอกสารเท่านั้น




  • เครื่องถ่ายเอกสารระบบสอดสี
เครื่องถ่ายเอกสารนี้ สามารถให้ภาพสีบนกระดาษธรรมดา โดยการผสมกันของผงหมึกแม่สี 3 สี คือ สีเหลือง (Yellow) , สีฟ้า (Cyan) , และสีแดง (Magenta) การผสมกันของ ผงหมึกแม่สีทั้งสามสี จะได้สีเขียว (Green) , สีแดง (Red) , สีน้ำเงิน (Blue) และสีดำ (Black) เพิ่มขึ้นมา รวมเป็นสีทั้ง หมด 7 สีด้วยกัน กระบวนการถ่ายเอกสารมีความเร็วมาก การถ่ายเอกสารที่ใช้สีครบเต็มอัตรา ใช้เวลาประมาณ 33 วินาที สำหรับแผ่นแรกและหากใช้ต้นฉบับเดิม แผ่นต่อ ๆ มาจะใช้เวลาแผ่นละประมาณ 18 วินาทีเท่านั้น และหากเลือกจำนวนสีน้อยลง กระบวนการถ่ายเอกสารก็จะยิ่งใช้เวลาน้อยกว่าเดิมอีก บนแผงหน้าปัด ของเครื่องถ่ายเอกสารจะมีปุ่มสำหรับเลือกจำนวนสีและความเข้มที่ต้องการ










ที่มา : http://th.wikipedia.org/


อันตรายจากเครื่องถ่ายเอกสาร

    อันตรายจากเครื่องถ่ายเอกสารมีอยู่จริง แต่ผลกระทบต่อสุขภาพผู้ใช้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่า มีการปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วเมื่อมีการใช้เครื่องถ่ายเอกสารแต่ละครั้งจะมี "สภาพที่ไม่ปลอดภัย" ปรากฏออกมา
1. ก๊าซโอโซน

         ก๊าซโอโซนเป็นก๊าซในภาวะที่ไม่เสถียรของก๊าซออกซิเจนก๊าซโอโซนจะเกิดขึ้นในระหว่างที่มีการถ่ายเอกสารซึ่งก๊าซโอโซนนี้จะเกิดขึ้นจากการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงดันสูง ดังเช่น เครื่องถ่ายเอกสาร อุปกรณ์ฉายรังสี และกิจกรรมการเชื่อมไฟฟ้า เป็นต้น ก๊าซโอโซนเป็นสารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาได้เป็นก๊าซที่ไม่เสถียร ในบรรยากาศการทำงานแบบสำนักงาน ก๊าซโอโซนมี มี half life เท่ากับ นาที ก๊าซโอโซนนี้เป็นก๊าซที่มีความเป็นพิษสูง เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากที่สุดในบรรดาอันตรายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการถ่ายเอกสาร ก๊าซโอโซน เป็นก๊าซที่มีกลิ่นหอม เครื่องมือวัดสามารถตรวจจับก๊าซโอโซนได้ถึงแม้ก๊าซโอโซนจะมีความเข้มข้นเพียง 0.01 ถึง 0.02 ppm (ส่วนในล้านส่วน) ระดับความเข้มข้นเฉลี่ย (TWA) ที่ยอมรับให้มีก๊าซโอโซนได้ในบรรยากาศการทำงาน คือ 0.1 ppm ในระหว่างถ่ายเอกสารก๊าซโอโซนเป็นก๊าซหลักที่จะเกิดขึ้นในระหว่างการหมุนไปและหมุนกลับของแกนหมุนและกระดาษ นอกจากนี้ก๊าซโอโซนยังเกิดขึ้นจากแสงอุลตร้าไวโอเลตที่ออกจากหลอดไฟในเครื่องถ่ายเอกสารด้วย
ผลกระทบต่อสุขภาพ
          ปกติก๊าซโอโซนจะสลายกลับไปเป็นก๊าซออกซิเจนได้อย่างรวดเร็ว ปกติแล้วปริมาณความเข้มข้นของก๊าซโอโซนในบริเวณรอบเครื่องถ่ายเอกสารนั้นจะไม่สูงพอที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ หรืออาการผิดปกติ อัตราการสลายไปเป็นก๊าซออกซิเจนของก๊าซโอโซนนั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลา อุณหภูมิ ซึ่งก๊าซโอโซนจะสลายกลายเป็นก๊าซออกซิเจนได้ดีในสภาวะที่อุณหภูมิสูง นอกจากนี้อัตราการสลายตัวยังขึ้นอยู่กับโอกาสที่ก๊าซโอโซนจะสัมผัสกับพื้นที่ผิววัตถุต่างๆ หากก๊าซโอโซนมีโอกาสสัมผัสกับพื้นที่ผิวต่างๆ ได้มาก ก๊าซโอโซนจะสลายตัวได้ดี
             อย่างไรก็ตาม ความเข้มข้นของก๊าซโอโซนจะเพิ่มขึ้นสูง หากมีการระบายอากาศที่ไม่ดีพอ ถ้าความเข้มข้นของก๊าซโอโซนถึง 0.25 ppm หรือสูงกว่า ก๊าซโอโซนนี้สามารถทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจส่วนบน ได้แก่ โพรงจมูก ทรวงอก และปอด อาการอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นอันมีสาเหตุจากก๊าซโอโซน ได้แก่ อาการปวดศรีษะ หายใจถี่ วิงเวียน ปวดเมื่อย สูญเสียการได้กลิ่นชั่วคราว หากระดับความเข้มข้นของก๊าซโอโซนในบรรยากาศการทำงานสูงถึง 10 ppm จะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้การได้รับก๊าซโอโซนในปริมาณน้อยเป็นระยะเวลานานจะมีผลต่อปอด บางหน่วยงานมีการศึกษาพบว่าว่า ระดับความเข้มข้นของก๊าซโอโซนในบรรยากาศการทำงานที่ 0.1 ppm มีผลทำให้อายุสั้นกว่าที่ควรจะเป็น

2.ผงหมึก 
             ผงหมึกในเครื่องถ่ายเอกสารระบบแห้งเป็นผงหมึกที่มีส่วนผสมของผงคาร์บอนสีดำ (carbon black) โดยทั่วไปผงหมึกจะมีส่วนผสมของผงคาร์บอนดำประมาณ 10% และมีส่วนผสมของ polystyrene acrylic และ polyester resin ผงหมึกที่ละเอียดจะสามารถหลุดออกมาได้ในระหว่างการถ่ายเอกสาร ถ้าระบบควบคุมระดับของผงหมึกเสีย หรือระบบปิดอัตโนมัติที่ควบคุมเศษผงหมึกเสีย นอกจากนี้ผงหมึกยังสามารถหลุดร่วงออกมาได้ระหว่างการซ่อมบำรุงรักษาเครื่องหรือระหว่างการเปลี่ยนแกนตลับหมึก
ผลกระทบต่อสุขภาพ

              ฝุ่นผงหมึกระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการไอ หรือจาม ผงหมึกบางรุ่นมีส่วนประกอบของnitropyrenes และ trinitrofluorene ซึ่งแม้ว่า รุ่นของผงหมึกที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะไม่ค่อยมี nitropyrenes และtrinitrofluorene แล้วก็ตาม แต่ยังพบบ้างในผงหมึกบางรุ่น ซึ่ง nitropyrenes และ trinitrofluorene นั้น มีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็ง จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผิวหนังหรือการหายใจเข้าไป วิธีการป้องกันที่ดีที่สุด เพื่อสุขภาพของผู้ถ่ายเอกสาร คือ เลือกผงหมึกที่ไม่มีสารประกอบดังกล่าว หากผู้ปฏิบัติงานจำเป็นต้องปฏิบัติงานที่มีโอกาสที่จะสัมผัสสารโดยผิวหนัง หรือหายใจเข้าไป ผู้ปฏิบัติงานที่ต้องจับต้องตัวกรองหมึก ต้องสวมถุงมือยางแบบใช้แล้วทิ้ง และสวมหน้ากากผ้า ส่วนประกอบ polymer ประเภทเรซินพลาสติกซึ่งพบได้บ่อยในผงหมึกของเครื่องถ่ายเอกสาร สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคืองได้หากมีการสัมผัสซ้ำ อาการที่พบได้บ่อย คือ เป็นผื่นคัน และยังอาจทำให้เกิดการระคายเคืองตาด้วย ผงหมึกยังมีส่วนประกอบของ Methanol ซึ่งมีคุณสมบัติติดไฟได้ สาร Methanol มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้รู้สึกปวดศรีษะ วิงเวียน ระคายเคืองตา Methanol นี้พบได้ทั้งในเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่อง Laser Printer จึงควรจัดตำแหน่งอุปกรณ์สำนักงานเหล่านี้ให้อยู่ในพื้นที่ที่ถ่ายเทอากาศได้ดี

3. เสียงดัง


              เครื่องถ่ายเอกสารที่สามารถถ่ายเอกสารด้วยความเร็วสูง หรือการถ่ายเอกสารที่สามารถแยกย่อยงานถ่ายเอกสารออกเป็นชุดๆ นั้นจะมีเสียงดัง เครื่องถ่ายเอกสารที่เก่าอาจมีระดับความดังของเสียงถึง 45 dB(A) และเครื่องถ่ายเอกสารเครื่องใหญ่ก็อาจก่อให้เกิดเสียงดังที่มีระดับความดังของเสียงถึง 80 dB(A) ได้ ทั้งนี้ระดับความดังของเสียงในบรรยากาศการทำงานของสำนักงานโดยทั่วไปนั้น จะมีเสียงดังน้อยกว่า 60 dB(A)
ผลกระทบต่อสุขภาพ

               เสียงดังที่เกิดจากการถ่ายเอกสาร โดยเฉพาะเสียงดังของการถ่ายเอกสารที่ถ่ายต่อเนื่องติดต่อกันทำให้รบกวนผู้ทำงานอื่นๆ ที่อยู่ข้างเคียง ก่อให้เกิดบรรยากาศการทำงานที่ไม่น่าทำงาน ในอุตสาหกรรมประเภทโรงพิมพ์ เสียงดังนับเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญยิ่ง ก่อให้เกิดปัญหาเสื่อมสมรรถภาพการได้ยิน หูหนวก หรืออาการมีเสียงอื้ออึงในหูของผู้ปฏิบัติงาน

4. แสงอุลตร้าไวโอเลต


                แสงอุลตร้าไวโอเลต หรือรังสีอุลตร้าไวโอเลต เป็นแสงที่ออกจากหลอดฟลูออเรสเซนท์ที่อยู่ในเครื่องถ่ายเอกสารโดยส่วนใหญ่ หลอดที่ใช้ในเครื่องถ่ายเอกสารเป็นหลอดฟลูออเรสเซนท์ที่มีส่วนประกอบของ metal halide หรือquarts แสงที่ออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสารเป็นแสงอุลตร้าไวโอเลตซึ่งหากสัมผัสกับดวงตาโดยตรงจะทำให้ปวดแสบตาได้ ดังนั้น ทุกครั้งที่ถ่ายเอกสารจะต้องปิดแผ่นปิด cover ทุกครั้ง
ผลกระทบต่อสุขภาพ               แสงอุลตร้าไวโอเลตเป็นสาเหตุทำให้เกิดการระคายเคืองตา ปวดตา และมีอาการปวดศรีษะได้ หากมองแสงจากเครื่องถ่ายเอกสารโดยตรง นอกจากนี้แสงจากเครื่องถ่ายเอกสารยังทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นเกิดความรำคาญ รบกวนการทำงานของเพื่อนร่วมงานได้

5. อันตรายอื่น ๆ จากเครื่องถ่ายเอกสาร

5.1 ระดับอุณหภูมิที่สูงขึ้น
ในการถ่ายเอกสาร เครื่องถ่ายเอกสารจะปลดปล่อยอากาศที่มีความร้อนสูง ดังนั้นหากมีระบบระบายอากาศที่ไม่สามาถกระจายอากาศที่มีความร้อนสูงขึ้นนี้ดีพอ จะเป็นสาเหตุทำให้อุณหภูมิในสำนักงานสูงขึ้น ผู้ที่ปฏิบัติงานในสำนักงานจะรู้สึกไม่สบายตัวเท่าที่ควร
5.2 กล้ามเนื้อล้า
การถ่ายเอกสารติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ในงานถ่ายเอกสารที่มีการออกแบบลักษณะการทำงานที่ไม่เหมาะสม ทำให้ผู้ถ่ายเอกสารเกิดความเมื่อยล้าจากการทำงานได้
5.3 อันตรายจากสารฟอร์มัลดิไฮด์ น้ำยาที่อาบกระดาษที่ใช้ในการถ่ายเอกสาร

กระดาษที่ใช้ในการถ่ายเอกสาร เรียกว่า Carbonless Copy Paper จะมีการใช้สารฟอร์มัลดิไฮด์เคลือบอาบกระดาษไว้ ซึ่งสารฟอร์มัลดิไฮด์ปริมาณเพียงเล็กน้อยที่ติดอยู่บนผิวกระดาษนั้น สามารถทำให้เกิดอาการเวียนศรีษะ ระคายเคืองผิว ตา และระบบทางเดินหายใจได้ จึงควรหลีกเลี่ยงสัมผัสใบหน้า ตา ในระหว่างที่จับกระดาษ ล้างมือด้วยสบู่อ่อนหลังทำงานจับกระดาษ และทาโลชั่นหลังจากล้างมือ เพื่อป้องกันผิวแห้ง

ปัญหาสุขภาพที่เกิดจากเครื่องถ่ายเอกสาร

           ผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมจากเครื่องถ่ายเอกสาร พบว่า ผู้ถ่ายเอกสาร หรือผู้ปฏิบัติงานใกล้เคียงจุดที่มีกิจกรรมถ่ายเอกสาร จะมีอาการมึนหัว เวียนศรีษะ อ่อนเพลีย ง่วงซึม เป็นอาการป่วยแบบหนึ่งที่พบบ่อยในกลุ่มคนที่ทำงานในสำนักงาน อาศัยอยู่ หรือทำงานอยู่ในห้องปรับอากาศในอาคารเป็นเวลานาน เป็นอาการป่วยที่เรียกว่าbuilding related illnesses เป็นอาการป่วยเรื้อรัง อันเนื่องมาจากคุณภาพของอากาศในอาคารไม่ดี (IAQ : Indoor Air Quality) อาการป่วยแบบนี้จะมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน


การทำงานกับเครื่องถ่ายเอกสารอย่างปลอดภัย

ก๊าซโอโซน
1. เลือกใช้เครื่องถ่ายเอกสารที่ปล่อยก๊าซโอโซนต่ำ หรือเลือกใช้เครื่องถ่ายเอกสารที่มีตัวกรองก๊าซโอโซนติดอยู่ที่เครื่อง ตัวกรองก๊าซโอโซนนี้ทำขึ้นจาก activated carbon จะติดอยู่ที่จุดระบายอากาศของเครื่องถ่ายเอกสาร สารตัวกรอง activated carbon สามารถทำให้ก๊าซโอโซนสลายกลายเป็นก๊าซออกซิเจนได้หมด 100%
2. บำรุงรักษาเครื่องถ่ายเอกสาร และสารตัวกรองอย่างสม่ำเสมอ การบำรุงรักษาที่ดีสามารถลดการปล่อยก๊าซโอโซนของเครื่องถ่ายเอกสารได้
3. หลีกเลี่ยงที่จะไม่สูดดมกลิ่นใดๆ ที่ออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร เพราะกลิ่นเหล่านั้นเป็นสาเหตุการระคายเคืองจมูกและทรวงอก ควรมีการตรวจวัดคุณภาพของอากาศในอาคาร (IAQ : Indoor Air Quality) เป็นประจำสม่ำเสมอ
การใช้เครื่องถ่ายเอกสารและการบำรุงรักษาเครื่องถ่ายเอกสาร 
1. ในการใช้เครื่องถ่ายเอกสารให้ปฏิบัติตามคู่มือของผู้ผลิต หากมีข้อสงสัยให้ศึกษาจากคู่มือการใช้งานและให้ใช้รุ่นของหมึกตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ การจัดวางตำแหน่งของเครื่องถ่ายเอกสารให้จัดวางในตำแหน่งที่คู่มือของผู้ผลิตแนะนำ ในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทเพียงพอ และมีอากาศไหลเวียนได้รอบตัวเครื่องถ่ายเอกสาร
2. ข้อแนะนำของผู้ผลิตเกี่ยวกับการทำความสะอาด การเปลี่ยนตลับผงหมึก ตัวกรอง หรือแปรงต่างๆ จะต้องปฏิบัติตามวิธีการที่กำหนดในคู่มือการใช้งาน
3. ควรจัดทำตารางบันทึกการซ่อมบำรุงรักษาไว้ประจำแต่ละเครื่อง ให้มีการบันทึกลงตารางบันทึกทุกครั้งเมื่อมีการบำรุงรักษา และจัดเก็บตารางบันทึกไว้เพื่อตรวจสอบว่า มีการบำรุงรักษาเป็นไปตามที่กำหนดไว้หรือไม่

การจัดการระบายอากาศ
1. พื้นที่ที่มีการระบายอากาศดีเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมในการวางเครื่องถ่ายเอกสาร เพราะพื้นที่ที่มีการระบายอากาศดี ฝุ่น ก๊าซและไอระเหยต่างๆ จะถูกกำจัด หรือสลายไปได้โดยง่าย
2. วางเครื่องถ่ายเอกสารไว้ในห้องที่มีการระบายอากาศที่ดี มีอากาศธรรมชาติหมุนเวียน มีอากาศใหม่ไหลถ่ายเททดแทนอากาศเดิมอยู่เสมอ หรือเป็นห้องที่มีระบบกรองอากาศ และบริเวณโดยรอบตำแหน่งที่วางเครื่องถ่ายเอกสารนั้น ต้องเป็นพื้นที่ว่าง เพื่ออากาศไหลเวียนได้โดยสะดวก
3. ควรมีการตรวจวัดความสามารถในการไหลเวียนอากาศในจุดที่วางเครื่องถ่ายเอกสารเป็นประจำ
- เสียงดัง 
วางเครื่องถ่ายเอกสารในตำแหน่งที่จะก่อให้เกิดเสียงดังน้อยที่สุด ถ้าจำเป็นอาจพิจารณาจัดทำฉากกั้น เพื่อกั้นและลดเสียงดังที่เกิดจากเครื่องถ่ายเอกสาร หรืออาจติดตั้งวัสดุดูดซับเสียงดัง






แสงอุลตร้าไวโอเลต และอุณหภูมิของห้องที่เพิ่มสูงขึ้น
1. ปิดแผ่นปิด cover ทุกครั้งที่ถ่ายเอกสาร ป้องกันแสงอุลตร้าไวโอเลตที่อาจจะทำอันตรายดวงตา ด้วยการหลีกเลี่ยง ไม่มองแสงที่ออกจากเครื่องถ่ายเอกสาร
2. หากเครื่องถ่ายเอกสารมีระบบของการป้อนกระดาษ และถ่ายเอกสารอัตโนมัติ ให้ใช้ระบบป้อนกระดาษและถ่ายเอกสารอัตโนมัติ เพราะสามารถป้องกันแสงอุลตร้าไวโอเลตที่ออกจากเครื่องถ่ายเอกสารได้ดีอีกวิธีหนึ่ง
3. ถ้ามีงานถ่ายเอกสารที่ไม่สามารถปิดแผ่นปิด cover ได้ ให้ผู้ถ่ายเอกสารหลีกเลี่ยง ไม่มองแสงจากเครื่องถ่ายเอกสาร
4. ส่วนของเครื่องถ่ายเอกสารจะร้อนในระหว่างที่มีการใช้เครื่อง หากกระดาษติดในเครื่องถ่ายเอกสาร และเมื่อผู้ถ่ายเอกสารหยิบกระดาษที่ติดเครื่องออก อาจทำให้มือ แขนของผู้ถ่ายเอกสารไปสัมผัสถูกส่วนของเครื่องที่ร้อน เป็นแผลพุพองได้ เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายดังกล่าว ในการหยิบกระดาษที่ติดเครื่องออก ควรปิดสวิทซ์เครื่องถ่ายเอกสาร และควรใช้คีมที่ไม่ได้เป็นโลหะคีบจับ เพื่อดึงกระดาษที่ติดในเครื่องออก หากจำเป็นต้องดึงกระดาษที่ติดในเครื่องในบริเวณที่อยู่ใกล้ตำแหน่งของเครื่องถ่ายเอกสารที่ร้อน ให้ปิดสวิทซ์เครื่องถ่ายเอกสาร และรอสักครู่เพื่อให้เครื่องถ่ายเอกสารเย็นเสียก่อน จึงจะสามารถดึงกระดาษที่ติดในเครื่องออกมาได้โดยปลอดภัย

สารเคมีที่ใช้กับเครื่องถ่ายเอกสาร
1. ต้องสื่อสารอันตรายและวิธีการใช้สารเคมีที่ใช้กับเครื่องถ่ายเอกสาร โดยให้ขอ MSDS : Material Safety Data Sheet จากผู้ผลิตเครื่องถ่ายเอกสาร
2. ให้ใช้ระบบควบคุมระดับของผงหมึก และระบบปิดอัตโนมัติที่ควบคุมเศษผงหมึก
3.  ให้สวมถุงมือยางแบบใช้แล้วทิ้ง เมื่อต้องสัมผัสกับสารเคมีที่ใช้กับเครื่องถ่ายเอกสาร หรือสัมผัสสารเคมีโดยใช้ระบบ wet process chemical ในการทำความสะอาด กำจัดตลับผงหมึก หรือผงหมึกนั้น ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้สารเคมี หรือผงหมึกสัมผัสโดนผิวหนัง
4.  หลังจากเปลี่ยนตลับผงหมึก ควรทิ้งตลับผงหมึกเก่าในถุงพลาสติก ปิดปากถุงให้สนิท และติดฉลาก "ของเสียอันตราย" ที่ถุงพลาสติกดังกล่าวด้วย ในการนำถุงพลาสติกที่ใส่ตลับผงหมึกไปทิ้ง ต้องปฏิบัติอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ตลับผงหมึก หรือผงหมึกหก ร่วงได้ และให้นำตลับผงหมึกไปกำจัดตามวิธีการกำจัดของเสียอันตราย  
ที่มา : www.siamsafety.com

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์




เครื่องพิมพ์




1. เครื่องพิมพ์ชนิดตอก (Impact printer) ใช้การตอกให้คาร์บอนบนผ้าหมึกติดบนกระดาษตามรูปแบบที่ต้องการ สามารถพิมพ์สำเนา (Copy) ครั้งละหลายชุดโดยใช้กระดาษคาร์บอนวางระหว่างกระดาษแต่ละแผ่น ความเร็วในการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้จะมีหน่วยเป็นบรรทัดต่อวินาที (lpm-line per minute) ข้อเสียของเครื่องพิมพ์ชนิดนี้ก็คือ มีเสียงดังและคุณภาพงานพิมพ์ที่ได้จะไม่ดีนัก สามารถแบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย คือ
•  เครื่องพิมพ์อักษร (Character printer) หมายถึงเครื่องพิมพ์ดีดที่พิมพ์ครั้งละหนึ่งตัวอักษรเท่านั้น ตัวอักษรแต่ละตัวจะถูกสร้างขึ้นจากจุดเล็ก ๆ จำนวนมาก จึงสามารถเรียกอีกอย่างว่า เครื่องพิมพ์แบบจุด (Dot matrix printer) นิยมใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์

•  เครื่องพิมพ์บรรทัด (Line printer) หมายถึงเครื่องพิมพ์ที่พิมพ์ครั้งละหนึ่งบรรทัด เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้งานได้รวดเร็ว แต่จะมีราคาสูง นิยมใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ หรือเครื่องพิมพ์ที่มีผู้ใช้หลายคน

2. เครื่องพิมพ์ชนิดไม่ตอก (Non impact printer)ใช้เทคนิคการพิมพ์จากวิธีการทางเคมี ซึ่งทำให้พิมพ์ได้เร็วและคมชัดกว่าชนิดตอก พิมพ์ได้ทั้งตัวอักษรและกราฟฟิก รวมทั้งไม่มีเสียงขณะพิมพ์ แต่มีข้อจำกัดคือไม่สามารถพิมพ์กระดาษสำเนา (Copy) ได้ ความเร็วในการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้จะมีหน่วยเป็นหน้าต่อนาที (PPM-page per minute) และสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ คือ
•  เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer) ทำงานคล้ายเครื่องถ่ายเอกสาร คือใช้แสงเลเซอร์สร้างประจุไฟฟ้า ซึ่งจะมีผลให้โทนเนอร์ (Toner) สร้างภาพที่ต้องการและพิมพ์ภาพนั้นลงบนกระดาษ เครื่องพิมพ์เลเซอร์แต่ละรุ่นจะแตกต่างกันในด้านความเร็วและความละเอียดของ งานพิมพ์ โดยปัจจุบันสามารถพิมพ์ละเอียดสูงสุดถึง 1200 จุดต่อนิ้ว (dot per inch หรือ dpi) 
•  เครื่องพิมพ์ฉีดหมึก (Inkjet Printer) ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เนื่องจากสามารถพิมพ์สีได้ ถึงแม้จะไม่คมชัดเท่าเครื่องพิมพ์ชนิดเลเซอร์ แต่ก็คมชัดกว่าเครื่องพิมพ์ตอก สามารถพิมพ์รูปได้คุณภาพใกล้เคียงกับภาพถ่าย และมีราคาถูกกว่าเครื่องพิมพ์ชนิดเลเซอร์ เครื่องพิมพ์แบบฉีดหมึกในปัจจุบันจะมีคุณภาพในการพิมพ์ต่างกันไปตาม เทคโนโลยีการฉีดหมึกและจำนวนสีที่ใช้ โดยรุ่นที่มีราคาต่ำมักใช้หมึกพิมพ์สามสี คือ น้ำเงิน ( cyan) , ม่วงแดง (magenta) และเหลือง (yellow) ซึ่งสามารถผสมสีออกมาเป็นสีต่าง ๆ ได้ แต่จะให้คุณภาพของสีดำที่ไม่ดีนัก จึงมีเครื่องพิมพ์ที่ให้คุณภาพสูงกว่าที่เพิ่มสีที่ 4 เข้าไปคือ สีดำ (black) เครื่องพิมพ์ฉีดหมึกในปัจจุบันโดย มากจะใช้สีนี้เป็นหลัก แต่จะมีเครื่องพิมพ์อีกระดับที่เรียกว่าเครื่องพิมพ์สำหรับภาพถ่าย (Photo printer) ที่จะเพิ่มสีน้ำเงินอ่อน (light cyan) และม่วงแดงอ่อน (light magenta) เป็น 6 สีเพื่อเพิ่มความละเอียดในการไล่เฉดสีภาพถ่ายให้เหมือนจริงยิ่งขึ้น และบางรุ่นก็จะมีการเพิ่มสีที่ 7 คือสีดำจางเพื่อช่วยในการพิมพ์เฉดสีเทาเข้าไปอีก

•  เครื่องพิมพ์เทอร์มอล (Thermal printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ให้คุณภาพในการพิมพ์สูงสุดจะมี 2 ประเภท คือ Thermal wax transfer ให้คุณภาพและราคาที่ต่ำกว่า ทำงานโดยการกลิ้งริบบอนที่เคลือบแวกซ์ไปบนกระดาษ แล้วเพิ่มความร้อนให้กับริบบอนจนแวกซ์นั้นละลายและเกาะติดอยู่บนกระดาษ ส่วน Thermal dye transfer ใช้หลักการเดียวกับ thermal wax แต่ใช้สีย้อมแทน wax จะเป็นเครื่องพิมพ์ที่ให้คุณภาพสูงสุด โดยสามารถพิมพ์ภาพสีได้ใกล้เคียงกับภาพถ่าย แต่ราคาเครื่องและค่าใช้จ่ายในการพิมพ์จะสูง

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สายแลน


สายแลน






สายที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ที่เรียกว่า Switch หรือ HUB (แต่เราสามารถเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ได้ด้วยเช่นกัน) สายแลนมีอยู่หลายประเภท แต่ละประเภทจะมีความสามารถในการรับ-ส่งสัญญาณแตกต่างกันออกไป สำหรับปัจจุบันสายแลนที่นิยมใช้กันมากคือ UTP (UNSHIELD TWISTED PAIR) คือ สายตีเกลียวที่ไม่มีตัวป้องกัน ส่วนหัวที่ใช้ในการเชื่อมต่อสายแลนเรียกว่า RJ45
ประเภทของสาย UTP
  • UTP CAT5 คือ สายแลน ที่เป็นสายทองแดงที่มีความเร็วที่ต่ำ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 100 Mbps (ไม่เป็นที่นิยมใช้กันแล้ว)
  • UTP CAT5e คือ สายแลนที่เป็นสายทองแดงที่มีความเร็วที่ต่ำ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 1 Gpbs
  • UTP CAT6 คือ สายแลนที่เป็นสายทองแดงที่มีความเร็วที่ต่ำ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 10 Gpbs BANWIDTH อยู่ที่ 250MHz
  • UTP CAT7 คือ สายแลนที่เป็นสายทองแดงที่มีความเร็วที่ต่ำ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 10 Gpbs BANWIDTH อยู่ที่ 600MHz
ทิปการเลือกซื้อ การเลือกสายแลนเพื่อนำมาใช้ แนะนำให้เลือกควบคู่กับอุปกรณ์ Switch หรือ HUB ด้วย (Switch ส่วนใหญ่ในปัจุจบันมีความเร็ว 10/100/1000 Mbps) เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้เชื่อมต่อกันตลอดเวลา สำหรับประเภทของสายแลนขั้นต่ำทีเราเลือกซื้อคือ UTP CAT5e หรือ UTP CAT6 ส่วนสาย UTP CAT7 ยังไม่เป็นที่นิยมใช้กันในปัจจุบันน่ะครับ แต่นำมาแนะนำให้รู้จักกันไว้ก่อนครับ

สายสัญญาณระบบเครือข่ายที่ดีที่สุด
Fiber Optic คืออะไร
Fiber Optic คือ สายสัญญาณของระบบเครือข่ายอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความสามารถในการรับ-ส่งสัญญาณได้ไกลๆ เป็นกิโลเมตร และมีการสูญเสียของสัญญาณน้อยมาก เมื่อเทียบกับสายแลนทั่วๆ ไป (CAT5, CAT5e, CAT6, CAT7 เป็นต้น)?Fiber Optic เรียกเป็นภาษาไทยว่า "เส้นใยแก้วนำแสง"


คุณสมบัติของ Fiber Optic
  • Fiber Optic ภายในทำจากแก้วที่มีความบริสุทธิ์สูงมาก
  • มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดเท่าเส้นผมของคนเรา
  • รับส่งสัญญาณได้ระยะไกลมากเป็นกิโลเมตร
  • ต้องใช้ผู้ชำนาญ และเครื่องมือเฉพาะในการเข้าหัวสัญญาณ
  • ราคาแพงหลายเท่า เมื่อเทียบกับสายแลนประเภท CAT5
Fiber Optic แบ่งออกได้ 2 ประเภท
  • เส้นใยแก้วนำแสงชนิดโหมดเดี่ยว (Singlemode Optical Fibers, SM)
  • เส้นใยแก้วนำแสงชนิดหลายโหมด (Multimode Optical Fibers, MM)
การนำไปใช้งานของ Fiber Optic
  • ตึกสูงๆ ที่ต้องการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย ทำเป็น Backbone (สายรับส่งสัญญาณข้อมูลหลัก)
  • ระบบการรับส่งสัญญาณภาพ วีดีโอ ตามพื้นที่ต่างๆ
  • การเชื่อมต่อสัญญาณระยะไกล
  • และอื่นๆ อีกมากมาย


ฮับ (HUB) ในระบบเครือข่าย
ฮับเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงสัญญาณของอุปกรณ์เครือข่ายเข้าด้วยกัน การจะทำให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องคอมพิวเตอร์รู้จักกัน หรือส่งข้อมูลถึงกันได้จะต้องผ่านอุปกรณ์ตัวนี้ ปัจจุบันฮับถูกเปรียบเทียบกับ Switch ซึ่งมีความสามารถสูงกว่า และถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์มาตราฐานที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงสัญญาณในระบบเครือข่าย? เรียกว่าฮับตกกระป๋องไปแล้วครับ แต่ยังไง ก็เรียนรู้ไว้สักนิดก็ไม่ผิดกฏกติกาแต่อย่างไร เดี๋ยวจะหาว่าไม่รู้จริง

โดยทั่วไปจะมีลักษณเหมือนกล่องสีเหลี่ยมแต่แบน มีความสูงประมาณ 1-3 นิ้ว แล้วแต่รุ่น มีช่องเล็กๆ เอาไว้เสียบสายแลนแต่ละเส้นที่ลากโยงมาจากคอมพิวเตอร์?มีหลายรุ่น เช่น Hub 4 Ports, 8 Ports, 16 Ports, 24 Ports หรือ 48 Ports เป็นต้น?หน้าตารูปร่างของฮับจะเหมือนกัน Switch ดังนั้นการเลือกซือต้องระวังให้ดี
ฮับ ทำงานอย่างไร 
เมื่อใดที่มีคอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายต้องการส่งข้อมูล ฮับทำจะหน้าที่ในการทำสำเนาข้อมูลและส่งไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครือข่าย ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ แต่รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ด้วยเช่น เครื่องพิมพ์ เป็นต้น เรียกว่าส่งข้อมูลไปทั้งหมด และถ้าข้อมูลนี้เป็นของอุปกรณ์ใด อุปกรณ์นั้นก็จะรับเองอัตโนมัติ? และจุดด้อยของฮับที่ควรทราบคือ เวลามีอุปกรณ์ใดส่งข้อมูลในเครือข่ายผ่านฮับ อุปกรณ์อื่นๆ จะต้องรอให้การส่งสมบูรณ์ก่อน เปรียบเทียบได้กับถนน One-Way ห้ามส่งข้อมูลสวนทางกัน
ความเร็วในการรับส่งข้อมูลของฮับ
  • ความเร็วต่ำสุดคือ 10 MBPS
  • ความเร็วสูงสุดคือ 100 MBPS
  • บางรุ่นรองรับทั้ง 10 และ 100 เรียกว่า 10/100 MBPS
ข้อดีของระบบ LAN 
1. การใช้ทรัพยากรทางฮาร์ดแวร์ร่วมกัน เนื่องจากอุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์แต่ละชนิด มีราคาค่อนข้าสูง เพื่อให้ใช้ทรัพยากรเหล่านั้น อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีการนำเอาอุปกรณ์เหล่านั้น มาใช้ร่วมกันเป็นส่วนกลาง เช่น เครื่องพิมพ์ พลอตเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น
2. การใช้ซอฟแวร์ร่วมกัน การใช้ซอฟแวร์ร่วมกันในระบบ จะทำให้ประหยัดเนื้อที่ ในการจัดเก็บ และยังสามารถใช้ร่วมกันได้อีก และสามารถ ดูแลรักษาได้ง่าย เช่น เมื่อเราต้องการอัพเกรดซอฟแวร์ใด ก็ทำการอัพเกรดทีเดียว แต่จะมีผลถึงผู้ใข้ซอฟแวร์นั้นๆ ทั้งระบบ เป็นต้น
3. การใช้ข้อมูลร่วมกัน ถ้าแต่ละหน่วยงานมีข้อมูลซึ่งต้องใช้ร่วมกัน ซึ่งถ้าต้องทำการคัดลอกข้อมูล ไปไว้ในแต่ละเครื่อง คงจะเป็นเรื่องยุ่งยากและสิ้นเปลืองเนื้อที่ ในการจัดเก็บข้อมูลมากทีเดียว การใช้ข้อมูลร่วมกัน ยังทำให้สะดวกเ วลาที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลต่างๆ ซึ่งจะมีผลกระทบ ไปทั้งระบบ และยังสามารถกำหนดได้ว่าจะให้ผู้ใช้คนใด สามารถใช้ข้อมูลได้ ซึ่งจะเป็น การรักษาความปลอดภัย สำหรับข้อมูล ซึ่งอาจเป็นความลับ และง่ายต่อการสำรองข้อมูล
4. การติดต่อระหว่างผู้ใช้แต่ละคน มีความสะดวกสบายขึ้น หากผู้ใช้อยู่ห่างกันมาก การติดต่ออาจไม่สะดวก ระบบ LAN มีบทบาท ในการเป็นตัวกลาง ในการติดต่อระหว่างผู้ใช้แต่ละคน ซึ่งอาจจะเป็นการติดต่อ ในลักษณะที่ผู้ใช้ที่ต้องติดต่อด้วยไม่อยู่ ก็อาจฝากข้อความเอาไว้ในระบบ เมื่อผู้ใช้คนนั้น เข้ามาใช้ระบบ ก็จะมีการแจ้งข่าวสารนั้นทันที
                                 ข้อเสียของ LAN ระบบต่าง ๆ
ระบบ BUS 
- อาจเกิดข้อผิดพลาดง่าย เนื่องจากทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ ต่ออยู่บนสายสัญญาณเพียงเส้นเดียว ดังนั้นหากมีการขาด ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ก็จะทำให้เครื่องอื่นส่วนใหญ่ หรือทั้งหมดในระบบ ไม่สามารถใช้งานได้ตามไปด้วย
- การตรวจหาโหนดเสีย ทำได้ยาก
- เนื่องจากขณะใดขณะหนึ่ง จะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น ที่สามารถส่งข้อความ ออกมาบนสายสัญญาณ ดังนั้น ถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์ จำนวนมากๆ อาจทำให้เกิด การคับคั่งของเน็ตเวิร์ก ซึ่งจะทำให้ระบบช้าลงได้
ระบบ Ring 
- หากโหนดใดโหนดหนึ่งเกิดปัญหาขึ้นจะค้นหาได้ยากว่าต้นเหตุอยู่ที่ไหน และวงแหวนจะขาดออก ทำให้ทั้งระบบใช้งานไม่ได้
ระบบ Star
- เสียค่าใช้จ่ายมาก ทั้งในด้านของเครื่องที่จะใช้เป็น central node และค่าใช้จ่าย ในการติดตั้งสายเคเบิลในสถานีงาน
- การขยายระบบให้ใหญ่ขึ้นทำได้ยาก เพราะการขยายแต่ละครั้ง จะต้องเกี่ยวเนื่องกับโหนดอื่นๆ ทั้งระบบ
สาเหตุของปัญหาที่พบกันได้โดยทั่วไปที่เกี่ยวกับสายสัญญาณ UTP ได้แก่
  • • การเข้าหัว Connecter ไม่ดีพอ
  • • ปัญหาสายขาดใน
  • • ปัญหาการสลับสีหรือสายสัญญาณหรือจับคู่สายใน UTP ไม่เป็นไปตามหลักการ โดยเฉพาะการนำมาเชื่อม กับ 100 Mbps Ethernet
  • • ปัญหาการนำสาย Straight - Through (สายตรง) หรือ MDI ไปใช้เชื่อมต่อระหว่าง Hub
  • • ปัญหาการนำสาย Crosswire (สายไขว้ภายใน) หรือ MDI-X ไปใช้เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับ Hub หรือ Switches Hub
  • • ปัญหาจากการนำเอาสาย Console มาใช้ติดตั้งระหว่างคอมพิวเตอร์กับ Hub ปกติ(แทนสายปกติ)
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากสาเหตุต่างๆเหล่านี้พอจะแยกสาเหตุออกได้ดังนี้
  • • การเข้าหัวสายไม่ดีทำให้เกิดปัญหา Crosstalk ทำให้เกิดปัญหาเชื่อมต่อได้บ้างไม่ได้บ้าง ต้องคอยขยับสายรวมทั้งเกิดปัญหา Run Frame อย่างมากมายในเครือข่าย Runt Frame เป็นเฟรมข้อมูลที่มีขนาดเล็ก ผิดปกติ มีสาเหตุมาจากการเข้าหัว RJ-45 ไม่เรียบร้อย รวมทั้งปัญหาของ Lan Card
  • • ปัญหาสายขาดในทำให้เชื่อมต่อไม่ได้
  • • ปัญหาการสลับสี หรือสลับคู่สายสัญญาณ ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มักทำให้เกิดอาการ หลายประการ เช่น ไม่สามารถใช้ได้กับ Hub บางรุ่นที่มีความเข้มงวดในเรื่องของสัญญาณไม่สามารถใช้งานได้รวมทั้งเครื่อง Hang หรือเครือข่ายล่ม ทันทีที่คอมพิวเตอร์ที่มีปัญหาสายสัญญาณนี้ มีการทำงานเกิดขึ้นบนเครือข่าย
  • • ปัญหาการนำสาย Crosswire ไปใช้เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับ Hub ทำให้ไม่สามารถเชื่อมต่อได้เช่นเดียวกับการเอา สายธรรมดา (Straight - Through) ไปเชื่อมต่อกันระหว่าง Hub กับ Hub ด้วยกัน ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว
  • • การใช้สาย Console มาเชื่อมต่อกันระหว่างคอมพิวเตอร์กับ Hub กับ Hub ด้วยกัน ก็ไม่สามารถทำได้

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หูฟัง


หูฟัง 




                    หูฟัง (อังกฤษheadphones) เป็นอุปกรณ์เครื่องเสียงชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในประเภทอุปกรณ์แสดงผลข้อมูลในรูปแบบเสียง โดยมีหน้าที่คล้ายกับลำโพง ประกอบด้วยตัวหูฟัง จะได้ยินเสียงเมื่อนำไปครอบกับหู และไมโครโฟนขนาดเล็กในตัวสำหรับใช้สำหรับติดต่อสื่อสารเพื่อการพูดได้ เช่นทางโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น รวมถึงใช้เป็นสิ่งบันเทิงในการฟังเพลงเล่นวิดีโอเกมส์ ปรับให้เข้ากับกระบวนการทำงานต่าง ๆ ที่ต้องใช้เสียง สามารถพกพาไปในสถานที่ต่าง ๆ ได้เพราะมีน้ำหนักเบา